วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ต้นมะขามป้อม


  มะขามป้อม  


ชื่อทั่วไป : มะขามป้อม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica L.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ : Emblica offcinalis Gaertn.
ชื่อสามัญ : Aonla, Indian gooseberry, Emblic myrablan, Malacca tree
วงศ์ : Euphorbiaceae
สกุล : Phyllanthus
ชื่อท้องถิ่น : มะขามป้อม (ทุกภาค)
     หมากขามป้อม (อีสาน)
     กันโตด (เขมร จันทบุรี)
     กาทวด (ราชบุรี) มั่งลู่
     สันยาส่า (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น มะขามป้อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง และเป็นไม้ชนิดผลัดใบ ลำต้นสูงประมาณ  8 – 18 เมตร ลำต้นแตกกิ่งน้อยทำให้มีทรงพุ่มค่อนข้างโปร่ง มีลำต้น และกิ่งพุ่งตรง สูงชะลูด ลำต้นมีเปลือกสีน้ำตาลอมเทาเล็กน้อย ผิวลำต้นค่อนข้างเรียบ และสามารถลอกออกเป็นแผ่นได้ ส่วนเนื้อไม้ค่อนข้างเหนียว เนื้อไม้มีสีแดงอมน้ำตาล
ใบ ใบมะขามป้อม เป็นใบประกอบแบบใบคู่ คือ ใบสุดท้ายเป็นใบคู่ คล้ายกับใบมะขาม แต่ใบมะขามป้อมมีจำนวนใบย่อยมากกว่า และใบย่อยเรียวยาวกว่า โดยใบมะขามป้อมจะแทงออกตามกิ่งเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน ใบมีก้านใบหลัก ยาว 10-20 เซนติเมตร และมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ จำนวน 20-30 คู่ ยอดอ่อนมีสีแดงอ่อน เมื่อแก่มีสีเขียวสดใบย่อยแต่ละใบมีลักษณะเรียวรี ขนาดกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 15-20 มิลลิเมตร แผ่นใบ และขอบใบเรียบ ปลายใบมน ใบมีสีเขียวสด โดยใบมะขามป้อมจะเริ่มร่วงตั้งแต่เดือนธันวาคม และจะผลิยอดอ่อนใหม่ในช่วงเดือนมีนาคม
ดอก ดอกมะขามป้อมแทงออกเป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นกระจุกตามก้านใบหรือซอกใบ 3 – 10 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก มีสีขาวอมเหลือง เป็นดอกเพศผู้ และเพศเมียแยกดอกกัน แต่อยู่บนต้นเดียวกัน และแต่ละต้นจะมีดอกเพศผู้มากกว่าดอกเพศเมีย จึงพบว่า แม้จะมีดอกมากแต่บางครั้งอาจไม่ติดผลมาก ดอกทั้งสองเพศมีกลีบรองดอก 6 กลีบ โดยดอกเพศผู้มีฐานรองดอกเป็น 6 แฉก และมีเกสร 3 อัน ส่วนดอกเพศเมีย มีฐานรองดอกเป็นรูปถ้วย และมีรังไข่ 3 ช่อง
ผล และเมล็ด ผลมะขามป้อมมีลักษณะทรงกลมหรือกลมแบนเล็กน้อย มีสีเขียวอ่อนเมื่อยังอ่อน และเมื่อสุกมากจะมีสีสีเขียวอมเหลือง ขนาดผลประมาณ 2-3 เซนติเมตร มีเปลือกผล และเนื้อผลเป็นส่วนเดียวกัน โดยมีเนื้อผลหนา 5-7 มิลลิเมตร สีขาวอมเหลือง และมีเส้นใยเล็กน้อยที่แทงออกมาจากเมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดส่วนนี้ เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน มีลักษณะแข็งกรอบ และฉ่ำน้ำ เนื้อให้รสเปรี้ยวอมฝาดเล็กน้อย ถัดมาในสุด เป็นเมล็ดที่ลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำ มีฐานเมล็ดใหญ่ และค่อยเรียวในส่วนปลาย ขนาดกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร เปลือกเมล็ดมีสีเขียวเข้ม มีเนื้อแข็ง และหนามาก แบ่งเป็น 2 ชั้น แบ่งมี 3 พู แต่ละพูมี 2 เมล็ด รวมหนึ่งผลแล้วมี 6 เมล็ด
ประโยชน์มะขามป้อม
1. มะขามป้อมนำมารับประทานสด ให้รสเปรี้ยวอมฝาด และรสจัดมาก จึงต้องจิ้มเกลือจึงจะดี
2. ผลมะขามป้อมนำมาแปรูปเป็นมะขามป้อมดองและมะขามป้อมแช่อิ่ม เป็นต้น
3. ผล และใบใช้ผสมในตำรับยาสมุนไพรหรือรับประทานเพื่อประโยชน์ในด้านสมุนไพร
4. ลำต้นขนาดเล็ด และกิ่งนำมาทำโครงดักจับปลา เช่น สวิง เพราะเนื้อไม้เหนียว สามารถโค้งงอได้
5. เปลือก และใบ ใช้ต้มย้อมผ้า ให้สีน้ำตาลแกมเหลือง และหากผสมเกลือจะให้สีน้ำตาลอมดำ และหากย้อมเสื่อด้วยเปลือกจะได้สีดำ
6. ลำต้น และกิ่งนำมาทำฟืน
7. ต้นมะขามป้อมตามป่าหรือตามหัวไร่ปลายนา จัดเป็นอาหารสำหรับสัตว์ป่า
8. ชาวฮินดูนิยมใช้ใบมะขามป้อมสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

สาระสำคัญที่พบ
-          Ascorbic acid (วิตามินซี)
-          Gallic acid
-          Ellagic acid
-          Corilagin
-          Benzenoids
-          Furanoloatones
-          Diterpenes
-          Triterpenes
-          Flavonoids
-          Sterols
-          Carbohydrates
-          Emblicanins A และ B
-          Phyllaemblicin B
-          Pyrogallol
-          Pedunculagin
-          Punigluconin
-          Hhesperidin
-          Haringin
-          Quercetin

สรรพคุณมะขามป้อม
ใบ และผล
-          ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง และรักษาโรคมะเร็ง
-          ลดการทำงานของผิวหนัง ต้านการเสื่อมของเซลล์
-          ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ตับจากสารพิษ และช่วยในการกำจัดสารพิษให้ออกทางปัสสาวะ
-          ช่วยป้องกันริ้วรอย และทำให้ผิวขาว
-          กระตุ้นการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
-          กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
-          ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ป้องกันการเป็นตะคริว ป้องกันโรคเหน็บชา
-          ช่วยทำให้ชุ่มคอ แก้การกระหายน้ำ
-          ลดเสมหะ ลดอาการระคายคอ
-          แก้อาการวิงเวียนศีรษะ เมารถ เมาเรือ
-          รักษาโรคเบาหวานหรือลดอาการแทรกซ้อนจากเบาหวาน
-          ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
-          ลดอาการแสบของแผลในช่องปาก ช่วยให้แผลหายเร็ว
-          ช่วยในการขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
-          ช่วยรักษาอาการท้องเสีย
-          ช่วยขับปัสสาวะ
-          ช่วยบรรเทาอาการไข้ แก้ไอ
-          ช่วยขยายหลอดลม รักษาอาการหอบหืด
-          รักษาแผลไฟไหม้ ด้วยการนำมาบดขยี้หรือตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำมาประคบแผล
-          ช่วยลด และรักษาฝ้าหรือรอยด่างดำบนใบหน้าได้ โดยนำผลหรือใบมาตำผสมน้ำพอชุ่ม ก่อนทาบริเวณจุดด่างดำหรือรอยฝ้าเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/วัน
-          นำน้ำคั้นจากใบหรือผลมาหยอดตา ช่วยรักษาเยื่อตาอักเสบ และตาแดงได้

เมล็ด (นำมาต้มน้ำดื่ม)
-          รักษาอาการท้องเสีย
-          รักษาอาการท้องอืด และอาการจุกเสียดแน่นท้อง
-          ช่วยขับปัสสาวะ

เปลือกลำต้น และแก่น
-          นำมาต้มดื่ม แก้อาการอาหารเป็นพิษ
-          น้ำต้ม ช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด และช่วยขับปัสสาวะ
-          น้ำต้ม นำมาอาบ ช่วยป้องกัน และรักษาโรคผิวหนัง

แหล่งที่พบ : หลังอาคาร 3  โรงเรียนบ้านเขวาสะดืออีสาน
ผู้บันทึกข้อมูล : รัตติยา  ดวงแพงมาตร์



🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻


https://plantbio-rd-mookmik.blogspot.com/2018/02/blog-post_22.html .


วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ต้นหูกวาง


  ต้นหูกวาง  


ชื่อทั่วไป
 :  หูกวาง
ชื่อสามัญ : Bengal Almond, Indian Almond, Sea Almond
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Terminalia catappa L.
วงศ์ : COMBRETACEAE
ชื่ออื่นๆ : โคน ดัดมือ ตัดมือ , ตาปัง , ตาแปห์ , หูกวาง , หลุมปัง

ประเภท – ไม้ยืนต้น


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 

ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 8-20 เมตร เปลือกเรียบ แตกกิ่งตามแนวนอนเป็นชั้นๆ - ใบ เดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ตอนปลายกิ่ง แผ่นใบรูปไข่กลับ กว้าง 8-15เซนติเมตร ยาว 12-25 เซนติเมตร - ดอก เล็ก สีขาวนวล ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน - ผล รูปไข่หรือรูปรีแบนเล็กน้อย กว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 3-7เซนติเมตร

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด


การใช้ประโยชน์ของต้นหูกวาง 

เนื้อใน เมล็ดรับประทานได้ ทั้งยังนำเอาไปทำน้ำมัน เพื่อใช้บริโภคและทำเครื่องสำอางได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอีกด้วย หูกวางเป็นพรรณไม้ที่นิยมปลูกกันมากในปัจจุบัน เพื่อเป็นไม้ประดับตามข้างทางในประเทศไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ นอกจากนี้แล้วไม้ชนิดนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างด้วยกันคือ
                   1.  เนื้อไม้ ใช้ในการก่อสร้างได้ดี เพราะเป็นไม้ที่มอดและแมลงไม่รบกวาน
                   2.  ใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร (ก่องกานดา,2528)  ทั้งต้น  เป็นยาสมาน แก้ไข้ท้องร่วง บิด ยาระบาย ขับน้ำนม แก้โรคคุททะราด  ราก ทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ  เปลือก มีรสฝาดใช้เป็นยาขับลม สมานแผล แก้ท้องเสีย  ตกขาว โรคโกโนเรีย ใบ ใช้เป็นยาขับเหงื่อ แก้ท่อนซิลอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและตับ   ใบที่แดงเป็นยาขับพยาธิ ผสมน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดรักษาโรคเรื้อน ทาหน้าอก แก้อาการเจ็บหน้าอก ทาไขข้อและส่วนของร่างกายที่หมดความรู้สึก ผลใช้เป็นยาถ่าย
                   3. ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมบางอย่าง  คือ เปลือกและผล  มีสารฝาดมากสามารถใช้ในอุตสาหกรรมย้อนสีผ้าได้ ฟอกหนังสัตว์ ทำหมึก
                   4. การใช้ประโยชน์อื่น ๆ เนื้อใน เมล็ดรับประทานได้  ทั้งยังนำเอาไปทำน้ำมัน เพื่อใช้บริโภคและทำเครื่องสำอางได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอีกด้วย อ้อ...และใบหูกวางแห้งก็มีสารแทนนินที่ทำให้สภาพน้ำเหมาะสมกับการใช้เลี้ยงปลากัดอีกด้วย


แหล่งที่พบ หลังอาคาร 3  โรงเรียนบ้านเขวาสะดืออีสาน
ผู้บันทึกข้อมูล รัตติยา  ดวงแพงมาตร์


🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺






วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ต้นสนทะเล


  สนทะเล  

ชื่อพันธุ์ไม้
: สนทะเล 
ชื่อสามัญ (ไทย) :  กู (ภาคใต้) ,  สนทะเล (ภาคกลาง)
            (อังกฤษ) : Common Ironwood, She Oak, Beefwood, Queensland Swamp Oak
ชื่อวิทยาศาสตร์ Casuarina equisetifalia J. R. & C. Forst. / Casuarina littoralis Salist.
ชื่อวงศ์ : Casuarinaceae

ลักษณะทั่วไปของต้นสนทะเล
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ลักษณะของลำต้นเหมือนรูปกรวยคว่ำ ปลายแหลม เปลือกลำต้นแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ สีน้ำตาลปนเทา ลำต้นสูงประมาณ 10-20 เมตร
ใบ : เป็นไม้ใบประกอบ มีขนาดเล็กแหลม คล้ายฟันเลื่อยมีสีขาวเขียว ติดอยู่รอบข้อของกิ่งย่อย ข้อหนึ่งจะมีใบย่อยอยู่ประมาณ 7 ใบ
ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกตัวผู้จะอยู่ตรงส่วนยอดของต้น ส่วนช่อดอกตัวเมียจะอยู่ล่างช่อดอกตัวผู้ ลักษณะของดอกทั้งสองก็ต่างกัน ดอกตัวผู้เป็นรูปกระบองเรียว ๆ สีแดงยาว 0.5-1.3 นิ้ว ส่วนช่อดอกตัวเมียนั้นเป็นลูกตุ้มเล็ก ๆ
ผล : เป็นลูกกลม ๆ เรียงชิดกันเป็นรูปกรวย หรือรูปรียาวประมาณ 0.5 นิ้ว กว้าง 0.4 นิ้ว ผิวแข็ง และเมื่อแก่ก็จะแตกมองเห็นเมล็ดภายในมากมาย ซึ่งเมล็ดนี้จะมีปีกบางๆ ติดอยู่

สรรพคุณทางยาของต้นสนทะเล
ใบ นำมาชงเป็นยาขับปัสสาวะ หรือต้มกินแก้ปวดท้อง และแก้อาการจุกเสียด
เปลือก ปรุงเป็นยาแก้บิด แก้โรคท้องร่วง สมานแผล ใช้อาบแก้โรคเหน็บชา แต่ถ้าใช้ในจำนวนที่มากจะมีฤทธิ์ไปบีบมดลูก ทำให้ประจำเดือนมาปกติ

การใช้ประโยชน์
1.  ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไม้สนทะเลเป็นไม้ที่ติดไฟได้ดีและให้ความร้อนสูงมาก จนได้รับขนานนามว่า เป็นไม้ฟืนที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งติดไฟได้สม่ำเสมอทั้งไม้สดและไม้แห้ง และสามารถนำไม้มาใช้เผาเป็นถ่านได้ดี นอกจากนี้ขี้เถ้าของไม้สนทะเลยังเก็บความร้อนไว้ได้นานอีกด้วย และใบของสนทะเลในการเดินเครื่องจักรของรถจักรไอน้ำของการรถไฟ และในรัฐ karnataka ของอินเดียได้ถือว่าไม้สนทะเลเป็นชนิดไม้ที่สำคัญสำหรับใช้ในการปลูกเป็นสวนป่าเพื่อใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง
2.  ใช้ประโยชน์ในการฟอกหนัง  เปลือกของไม้สนทะเลมีน้ำฝาดและสีซึ่งมีเทนนิน อยู่ประมาณ 6-18% น้ำฝาดจากเปลือกสนทะเลใช้ในการฟอกหนัง โดยการซึมซาบเข้าไปในหนังที่ฟอกอย่างรวดเร็ว ทำให้หนังพองตัวและมีลักษณะอ่อนนุ่ม สีของหนังที่ฟอกด้วยเปลือกสนทะเลจะเป็นสีน้ำตาลปนแดงอ่อน ๆ
3.  ใช้ประโยชน์ในการทำกระดาษ  เนื้อไม้ของสนทะเลสามารถนำมาใช้ทำกระดาษได้โดยใช้ Neutral sulfite semi-chemical
4.  เนื้อไม้ใช้ทำเสาเข็มในการก่อสร้าง เสาโป๊ะ เสาบ้าน เสาไฟฟ้า ทำเป็นโครงนั่งร้าน ด้ามเครื่องมือ ด้ามแจว แอก ล้อเกวียน เป็นต้น
5.  ใช้เป็นสมุนไพร  สามารถนำเปลือกมาต้มกับน้ำเป็นยาฝาดสมานใช้รักษาโรคท้องเดินเรื้อรังและแก้บิด กิ่งแขนงเอามาชงกับน้ำรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ
6.  ประโยชน์ด้านอื่น ๆ เช่น ปลูกตามหาดทรายทะเลเพื่อป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเล ปลูกเป็นแนวกันลมได้ดี ใช้ปลูกในพื้นที่ดินเสื่อมโทรมเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องการใช้ที่ดินเสื่อมโทรมให้เป็นประโยชน์ ใช้ปลูกเป็นรั้วบ้าน นิยมนำสนทะเลไปปลูกเป็นไม้ประดับเนื่องจากตัดและตกแต่งเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้สวยงาม


แหล่งที่พบ : หน้าอาคาร 1  โรงเรียนบ้านเขวาสะดืออีสาน
ผู้บันทึกข้อมูล : รัตติยา  ดวงแพงมาตร์


🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺





ต้นค้อ หรือต้นตะคร้อ


ต้นค้อ หรือต้นตะคร้อ

ชื่อทั่วไป  :  ค้อ
ชื่อท้องถิ่น :  ก๊อแล่ (เชียงใหม่)
      ทอ โล้ละ หลู่หล่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
      นางกลางแจ๊ะ มะก๊อซ่วม มะก๊อแดง (เหนือ)
      สิเหรง (ปัตตานี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Livistona speciosa Kurz


Taxonomy

Kingdom
Plantae
Division
Magnoliophyta
Class
Liliopsida
Order
Arecales
Family
Arecaceae
Genus
Livistona
Specific epithet  Variety
speciosa

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ค้อ จัดอยู่ในประเภทพืช   พืชดอก

                    บรรยายลักษณะ
ต้น: ปาล์มลำต้นเดี่ยว สูงถึง 35 เมตร
ใบ: ใบเป็นกลุ่มแน่นใกล้ยอดถึง 50 ใบ ลำต้นเรียวเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30 เซนติเมตร ที่ฐานมักจะพองออก ใบกลมคล้ายพัด เส้นผ่านศูนย์กลางถึง 2 เมตร จักเว้าลึกไม่ถึงครึ่งตัวใบ จีบเวียนรอบใบสวยงาม ด้านล่างสีออกเทาเป็นสันร่อง ก้านใบร่วมยาวถึง 1.8 เซนติเมตร สีเหลือง มีหนามใหญ่โค้งสีส้มอมน้ำตาล ยาวถึง 2.5 เซนติเมตร กาบใบสั้น ที่ขอบมักจะแตกเป็นเส้นใยหยาบ และมีติ่งหูใบ ที่ยาวถึง 25 เซนติเมตร
ดอก: ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ เป็นช่อยาวถึง 1.4 เมตร
ผล: ผลสีเขียวเข้มถึงม่วงออกดำ รูปมนรีถึงรูปไข่ ความยาวมากกว่ากว้าง


การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง


ข้อดีของพันธุ์ไม้ :  ปลูกเพื่อให้ร่มเงาดี เพราะพุ่มใบทึบเหมสะสำหรับพื้นที่กว้าง     
 
           ด้านไม้ใช้สอย ลำต้นเนื้อแน่นเหนียวหนักทำสากตำข้าวดี,ใช้เลี้ยงครั่ง เมล็ดทำน้ำมัน(จุดประทีป) ,เปลือกใช้ย้อมผ้าให้สีน้ำตาล เปลือกค้อผสมกับเปลือกก่อ ให้สีกากี

           ด้านอาหาร เปลือกต้นขูด เอาเนื้อเปลือกตำใส่มดแดง(เปลือกนางกินกับตำเหมี่ยงโค่น กินกับใบส้มกบ,ส้มลม ตำใส่เครื่องข่าตะไคร้ พริก) นำมารับประทานจิ้มเกลือหรือนำมาซั่ว ลูกที่หวานมากนำมากินกับข้าวได้ เปลือกผลส่วนก้นนำตำใส่เปลือก ผสมกับเนื้อ

           สรรพคุณทางยา
                    เมล็ด กินได้ แต่อย่าเกิน3เม็ด เพราะจะเมา นำมาสกัดน้ำมัน
                    เปลือกนอก ขูดผสมเกลือ เป็นยารักษาสัตว์
                    เปลือกต้น แก้บิด,ท้องร่วง,มูกเลือด วิธีการ นำมาตำกิน รักษา บาดแผลสด จากของมีคม วิธีการนำเปลือกบริเวณลำต้นที่วัดความสูงตาม บาดแผลที่เกิด ขูดเปลือกค้อ นำมาผสมกับยาดำ(เส้นผม,ขนเพชร) แล้วนำมาพอกแผล
                    ใบ แก้ไข้โดย ขยี้ใบแก่กับน้ำนำมาเช็ดตัวห้ามเลือด ใช้ใบแก่เคี้ยวให้ละเอียดใส่แผลสด ปิดปากแผลไว้
                    เนื้อผล เป็นยาระบาย
                    ราก ใช้ถอนพิษ เช่น อยากหยุดเหล้า นำน้ำต้มรากมาผสมเหล้า และกินตอนเมา จะทำให้ไม่อยากกินอีกปริมาณการใช้ราก1กำมือผู้กิน เหล้า 1 ก๊ง

ข้อมูลอื่นๆ
ผลตะคร้อมีกรดอินทรีย์สูงและมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  สารสกัดจากเปลือกและลำต้นของต้นตะคร้อพบว่าสามารถลดการเกิดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการตายของเซลล์มะเร็ง , มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย , และการใช้น้ำมันสกัด (Kusum oil or Macassar oil) จากเมล็ดตะคร้อ รักษาอาการคัน สิว แผลไหม้ เป็นน้ำมันสำหรับนวดแก้การปวดไขข้อ , และยังพบว่าน้ำต้มเปลือกของต้นตะคร้อยังรักษาอาการปวดประจำเดือนอีกด้วย

แหล่งที่พบ : สวนหย่อมหน้าโรงอาหาร โรงเรียนบ้านเขวาสะดืออีสาน

ผู้บันทึกข้อมูล : รัตติยา  ดวงแพงมาตร์

🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺